
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง
นาฏศิลป์ไทย
รายวิชา คอมพิวเตอร์
จัดทำโดย
นางสาวดวงพร นิลทัย เลขที่ 29
นายอธิวัฒน์ ภาคพรม เลขที่ 8
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4
เสนอ
คุณครูดวงตา บุติมาลย์
โรงเรียนสำโรงทาบวิทยาคม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต
33
สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ
บทคัดย่อ
นาฏศิลป์ เป็นศิลปะแห่งการละคร ฟ้อนรำ
และดนตรี
อันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรือนาฏยะ
กำหนดว่า ต้องประกอบไปด้วย ศิลปะ
3 ประการ คือ
การฟ้อนรำ การดนตรี และการขับร้อง
รวมเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3
สิ่งนี้เป็นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดำบรรพ์
นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดขึ้นจากสาเหตุตามแนวคิดต่าง ๆ เช่น เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ไม่ว่าจะอารมณ์แห่งความสุข หรือความทุกข์แล้วสะท้อนออกมาเป็นท่าทาง
แบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นเป็นท่าทางลีลาการฟ้อนรำ
หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า
โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรำ
ขับร้อง
ฟ้อนรำให้เกิดความพึงพอใจ เป็นต้น วัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงงาน เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของนาฎศิลป์ไทย เพื่อใช้เป็นสื่อการสอนในการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่เด็กนักเรียนในการศึกษาหาความรู้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการทำโครงงาน ได้สื่อการเรียนการสอนเพื่อนำไปเป็นใช้ ผู้รับชมสามารถเรียนรู้และสามารถเข้าใจถึงปัญหารำนาฏศิลป์ ผู้รับชมได้รับความรู้ ความเข้าใจ
และความบันเทิงในการรับชมสื่อ
กิตติกรรมประกาศ
การศึกษาค้นคว้าการทำโครงงาน
เรื่อง นาฏศิลป์ไทย ในครั้งนี้ได้สำเร็จลงด้วยดี
คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานคุณครูดวงตา บุติมาลย์ และคณะครูโรงเรียนสำโรงทาบวิทยาคมทุกท่านที่ได้ให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางในการทำงาน เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ และสถานที่ในการทำโครงงานครั้งนี้
ขอขอบพระคุณคุณบิดา –
มารดา ผู้ให้กำเนิด ดูแล และให้การศึกษา ขอขอบคุณญาติพี่น้อง
และเพื่อน ๆ ทุกคน ที่คอยให้กำลังใจและคำปรึกษาที่ดีตลอดมา
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการศึกษาค้นคว้าการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง
น้ำยาถูพื้นจากมะกรูดและมะนาว ในครั้งนี้
จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ต่อไป
คณะผู้จัดทำ
กันยายน 2560
สารบัญ
เรื่อง หน้า
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
บทที่ 1 บทนำ 1
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 1
วัตถุประสงค์ 1
ขอบเขตการศึกษา 1
ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2
ประวัติของนาฎศิลป์ 2
ที่มาของนาฏศิลป์ไทย 3
ประเภทของนาฏศิลป์ไทย 7
การแสดงพื้นบ้าน 8
บทที่ 3 วิธีดำเนินงาน 12
ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงานการศึกษา 12
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงาน 12
รูปแบบการนำเสนอผลงานผ่านทางเว็บไซต์ 12
บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 13
ผลการดำเนินโครงงาน 13
บทที่ 5 สรุปผล
อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 14
สรุปผลการดำเนินงาน 14
อภิปรายผล 14
ข้อเสนอแนะ 14
บรรณนานุกรม
บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
นาฎศิลป์ไทยเป็นการเล่นเครื่องดนตรีแปลกๆชนิดการละครฟ้อนรำและดนตรีอันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรือนาฏยะกำหนดว่า
ต้องประกอบไปด้วยศิลปะ 3
ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรี และการขับร้อง รวมเข้าด้วยกัน
ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดำบรรพ์
นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดจากสาเหตุแนวคิดต่าง ๆ เช่น
เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ไม่ว่าจะอารมณ์แห่งสุข
หรือความทุกข์และสะท้อนออกมาเป็นท่าทางแบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นท่าทางลีลาการฟ้อนรำ
หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธ์ เทพเจ้า
โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรำ ขับร้องฟ้อนรำให้เกิดความพึงพอใจ เป็นต้น
นาฏศิลป์ไทยยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของนาฎศิลป์ไทย
2.
เพื่อใช้เป็นสื่อการสอนในการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์
3.
เพื่อเป็นประโยชน์แก่เด็กนักเรียนในการศึกษาหาความรู้
ขอบเขตการศึกษา
1.
ศึกษาและเรียบเรียงข้อมูลเกี่ยวกับนาฏศิลป์
2.
ดัดแปลงโครงเรื่องมาจากเนื้อหาทางวิชานาฏศิลป์
3.
สื่อประกอบด้วยภาพ พร้อมเสียงบรรยาย และเสียงประกอบ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.
ได้สื่อการเรียนการสอนเพื่อนำไปเป็นใช้
2.
ผู้รับชมสามารถเรียนรู้และสามารถเข้าใจถึงปัญหารำนาฏศิลป์
3.
ผู้รับชมได้รับความรู้ ความเข้าใจ และความบันเทิงในการรับชมสื่อ
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ประวัติของนาฎศิลป์
นาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปะแห่งการฟ้อนรำ
ที่มีสมมติฐานมาจากธรรมชาติ แต่ได้รับการตกแต่งและปรับปรุงให้งดงามยิ่งขึ้น
จนก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้ดูผู้ชม โดยแท้จริงแล้วการฟ้อนรำก็คือ
ศิลปะของการเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น แขน ขา เอว ไหล่ หน้าตา ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ธรรมชาติที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการฟ้อนรำจึงมาจากอิริยาบทต่าง ๆ
ของมนุษย์ ได้แก่ ยืน เดิน นั่ง นอน ฯลฯ ตามปกติการเดินของคนเราจะก้าวเท้าพร้อมทั้งแกว่งแขนสลับกันไปเช่นเมื่อก้าวเท้าซ้ายก็จะแกว่งแขนขวาออก
และเมื่อก้าวเท้าขวาก็จะแกว่งแขนซ้ายออกสลับกันเพื่อเป็นหลักในการทรงตัว
ครั้นเมื่อนำมาตกแต่งเป็นท่ารำขึ้น
ก็กลายเป็นท่าเดินที่มีลีลาการก้าวเท้าและแกว่งแขน
ให้ได้สัดส่วนงดงามถูกต้องตามแบบแผนที่กำหนด ตลอดจนท่วงทำนองและจังหวะเพลง
นาฏศิลป์ไทย
เกิดมาจากอากัปกิริยาของสามัญชนเป็นพื้นฐาน
ซึ่งโดยทั่วไปมนุษย์ทุกคนย่อมมีอารมณ์ต่าง ๆ ได้แก่ รัก โกรธ โศกเศร้า เสียใจ ดีใจ
ร้องไห้ ฯลฯ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อมนุษย์มีอารมณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น
นอกจากจะมีความรู้สึกเกิดขึ้นในจิตใจแล้วยังแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาทางกายในลักษณะต่าง
ๆ กัน เช่น
รัก - หน้าตากิริยาที่แสดงออก อ่อนโยน
รู้จักเล้าโลม เจ้าชู้
โกรธ - หน้าตาบึ้งตึง กระทืบเท้า
ชี้หน้าด่าว่าต่าง ๆ
โศกเศร้า,เสียใจ -
หน้าตากิริยาละห้อยละเหี่ย ตัดพ้อต่อว่า ร้องไห้
นอกจากนี้ นาฏศิลป์ไทย
ยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น
วัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่เป็นเรื่องของเทพเจ้า และตำนานการฟ้อนรำ
โดยผ่านเข้าสู่ประเทศไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ ผ่านชนชาติชวาและเขมร
ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของไทย เช่น
ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของ พระอิศวร
ซึ่งมีทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพรัม
เมืองมัทราส อินเดียใต้
ปัจจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดู นับเป็นคัมภีร์สำหรับการฟ้อนรำ
แต่งโดยพระภรตมุนี เรียกว่า คัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์ ถือเป็นอิทธิพลสำคัญต่อแบบแผนการสืบสาน
และการถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบ
แบบแผนการเรียน การฝึกหัด จารีต ขนบธรรมเนียม มาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม
บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า
อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฎศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตามประวัติการสร้างเทวาลัยศิวะนาฎราชที่สร้างขึ้นในปี
พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นระยะที่ไทยเริ่มก่อตั้งกรุงสุโขทัย
ดังนั้นท่ารำไทยที่ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกจึงเป็นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
และมีการแก้ไข ปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
จนนำมาสู่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จนนำมาสู่การประดิษฐ์ท่าทางการร่ายรำและละครไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มาของนาฏศิลป์ไทย
๑. การเลียนแบบธรรมชาติ แบ่งเป็น ๓ ขึ้น
คือ ขั้นต้น เกิดแต่วิสัยสัตว์ เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถ้าอารมณ์แรงกล้าไม่กลั้นไว้ได้
ก็แสดงออกมาให้เห็นปรากฏ เช่น เด็กทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะตบมือ กระโดดโลดเต้น
เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้ ดิ้นรน ขั้นต่อมา เมื่อคนรู้ความหมายของกิริยาท่าทางมากขึ้น
ก็ใช้กิริยาเหล่านั้นเป็นภาษาสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นรู้ความรู้สึกและความประสงค์
เช่น ต้องการแสดงความเสน่หาก็ยิ้มแย้ม กรุ้มกริ่มชม้อยชม้ายชายตา
หรือโกรธเคืองก็ทำหน้าตาถมึงทึง กระทืบ กระแทก ต่อมาอีกขั้นหนึ่ง
มีผู้ฉลาดเลือกเอากิริยาท่าทาง ซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้อง
ติดต่อกันเป็นขบวนฟ้อนรำให้เห็นงาม จนเป็นที่ต้องตาติดใจคน
๒. การเซ่นสรวงบูชา
มนุษย์แต่โบราณมามีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการบูชา เซ่นสรวง
เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา หรือขอให้ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป
การบูชาเซ่นสรวง
มักถวายสิ่งที่ตนเห็นว่าดีหรือที่ตนพอใจ เช่น ข้าวปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้
จนถึง การขับร้อง ฟ้อนรำ เพื่อให้สิ่งที่ตนเคารพบูชานั้นพอใจ
ต่อมามีการฟ้อนรำบำเรอกษัตริย์ด้วย ถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้
มีการฟ้อนรำรับขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ ที่มีชัยในการสงครามปราบข้าศึกศัตรู
ต่อมาการฟ้อนรำก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลงมา
กลายเป็นการฟ้อนรำเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไป
๓. การรับอารยธรรมของอินเดีย
เมื่อไทยมาอยู่ในสุวรรณภูมิใหม่ๆ นั้น มีชนชาติมอญ และชาติขอมเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนแล้ว
ชาติทั้งสองนั้นได้รับอารยธรรมของอินเดียไว้มากมายเป็นเวลานาน
เมื่อไทยมาอยู่ในระหว่างชนชาติทั้งสองนี้ ก็มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด
ไทยจึงพลอยได้รับอารยธรรมอินเดียไว้หลายด้าน เช่น ภาษา ประเพณี ตลอดจนศิลปการละคร
ได้แก่ ระบำ ละคร
นาฎศิลป์
คือ การร่ายรำที่มนุษย์ได้ปรุงแต่งจากลีลาตามธรรมชาติให้สวยสดงดงาม
โดยมีดนตรีเป็นองค์ประกอบในการร่ายรำ
นาฎศิลป์ของไทย
แบ่งออกตามลักษณะของรูปแบบการแสดงเป็นประเภทใหญ่ ๆ 4 ประเภท คือ
1.โขน
2.ละคร
3.รำและระบำ
4.การแสดงพื้นบ้าน
การแต่งกายของตัวนาง

เครื่องแต่งกายตัวนาง
1.
กำไลเท้า 2. เสื้อในนาง 3. ผ้านุ่ง 4.
เข็มขัด 5. สะอิ้ง 6. ผ้าห่มนาง
7.
นวมนาง,
กรองศอ, สร้อยนวม 8.จี้นาง, ตาบทับ, ทับทรวง 9. พาหุรัด 10. แหวนรอบ
11.
ปะวะหร่ำ 12. กำไลตะขาบ 13. กำไลสวม, ทองกร 14. ธำมรงค์ 15. มงกุฏ
16.
จอนหู,
กรรเจียก, กรรเจียกจร 17. ดอกไม้ทัด (ซ้าย) 18.
อุบะ, พวงดอกไม้ (ซ้าย)
การแต่งกายของตัวพระ

(แขนขวา แสดงเสื้อแขนสั้น ไม่ต้องมีอินทรธนู แขนซ้าย แสดงเสื้อแขนยาว
มีอินทรธนู)
1. กำไลเท้า 2. สนับเพลา 3. ผ้านุ่ง 4. ห้อยข้าง, เจียระบาด, ชายแคลง 5. ฉลององค์ 6. รัดสะเอว
7. ห้อยหน้า, ชายไหว 8.ทับกระถอบ 9. ปั้นเหน่ง 10. กรองคอ, กรองศอ 11. ตาบหน้า, ตาบทับ, ทับทรวง 12. อินทรธนู 13. พาหุรัด 14. สังวาล 15. ตาบทิศ 16. ชฏา 17. ดอกไม้เพชร (ขวา) 18. จอนหู, กรรเจียก, กรรเจียกจร 19. ดอกไม้ทัด (ขวา) 20. อุบะ, พวงดอกไม้ 21. ธำมรงค์ 22. แหวนรอบ 23. ปะวะหล่ำ 24. กำไลแผง, ทองกร
การแต่งการของตัวยักษ์

เครื่องแต่งกายตัวยักษ์
1. กำไลเท้า 2. สนับเพลา 3. ผ้านุ่ง ในวรรณคดี เรียกว่า ภูษา หรือพระภูษา 4. ห้อยข้าง
หรือเจียระบาด หรือชายแครง 5. ผ้าปิดก้น หรือห้อยก้น
อยู่ข้างหลัง 6. เสื้อ
ในวรรณคดีเรียกว่า ฉลององค์ 7. รัดสะเอว หรือรัดองค์ หรือรัดพัสตร์
8. ห้อยหน้า
หรือชายไหว 9. เข็มขัด
หรือปั้นเหน่ง 10. รัดอก
หรือรัดองค์ ในวรรณคดีเรียกว่า รัดพระอุระ
11. ตาบหน้า หรือ ตาบทับ ในวรรณคดีเรียกว่า
ทับทรวง 12. กรองคอ
หรือ นวมคอ ในวรรณคดีเรียกว่า กรองศอ 13.
ทับทรวง 14.สังวาล 15. ตาบทิศ 16. แหวนรอบ 17. ปะวะหล่ำ 18. กำไลแผง
ในวรรณคดีเรียกว่า ทองกร 19. พวงประคำคอ 20. หัวโขน ในภาพนี้เป็นหัวทศกัณฐ์ 21.
คันศร
บรรดาพญายักษ์ตัวสำคัญอื่นๆ
ในเรื่องโขนก็แต่งกายคล้ายกันนี้ ต่างกันแต่ละสีและลักษณะของหัว
ประเภทของนาฏศิลป์ไทย
นาฎศิลป์ คือ
การร่ายรำที่มนุษย์ได้ปรุงแต่งจากลีลาตามธรรมชาติให้สวยสดงดงาม
โดยมีดนตรีเป็นองค์ประกอบในการร่ายรำ
นาฎศิลป์ของไทย
แบ่งออกตามลักษณะของรูปแบบการแสดงเป็นประเภทใหญ่ ๆ 4 ประเภท คือ
1. โขน
เป็นการแสดงนาฎศิลป์ชั้นสูงของไทยที่มีเอกลักษณ์
คือ ผู้แสดงจะต้องสวมหัวที่เรียกว่า หัวโขน
และใช้ลีลาท่าทางการแสดงด้วยการเต้นไปตามบทพากย์
การเจรจาของผู้พากย์และตามทำนองเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์
เรื่องที่นิยมนำมาแสดง คือ พระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์
แต่งการเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ที่เป็นเครื่องต้น
เรียกว่าการแต่งกายแบบ “ยื่นเครื่อง” มีจารีตขั้นตอนการแสดงที่เป็นแบบแผน
นิยมจัดแสดงเฉพาะพิธีสำคัญได้แก่ งานพระราชพิธีต่าง ๆ
2. ละคร
เป็นศิลปะการร่ายรำที่เล่นเป็นเรื่องราว
มีพัฒนาการมาจากการเล่านิทาน
ละครมีเอกลักษณ์ในการแสดงและการดำเนินเรื่องด้วยกระบวนลีลาท่ารำ เข้าบทร้อง
ทำนองเพลงและเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์
มีแบบแผนการเล่นที่เป็นทั้งของชาวบ้านและของหลวงที่เรียกว่า ละครโนราชาตรี ละครนอก
ละครใน เรื่องที่นิยมนำมาแสดงคือ พระสุธน สังข์ทอง คาวี อิเหนา อุณรุท
นอกจากนี้ยังมีละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่อีกหลายชนิด
การแต่งกายของละครจะเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ เรียกว่า
การแต่งการแบบยืนเครื่อง นิยมเล่นในงานพิธีสำคัญและงานพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์
3. รำ และ ระบำ
เป็นศิลปะแห่งการร่ายรำประกอบเพลงดนตรีและบทขับร้อง
โดยไม่เล่นเป็นเรื่องราว
ในที่นี้หมายถึงรำและระบำที่มีลักษณะเป็นการแสดงแบบมาตรฐาน
ซึ่งมีความหมายที่จะอธิบายได้พอสังเขป ดังนี้
3.1 รำ หมายถึง ศิลปะแห่งการรายรำที่มีผู้แสดง
ตั้งแต่ 1-2 คน เช่น การรำเดี่ยว การรำคู่ การรำอาวุธ
เป็นต้น มีลักษณะการแต่งการตามรูปแบบของการแสดง
ไม่เล่นเป็นเรื่องราวอาจมีบทขับร้องประกอบการรำเข้ากับทำนองเพลงดนตรี
มีกระบวนท่ารำ โดยเฉพาะการรำคู่จะต่างกับระบำ เนื่องจากท่ารำจะมีความเชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องกัน
และเป็นบทเฉพาะสำหรับผู้แสดงนั้น ๆ เช่น รำเพลงช้าเพลงเร็ว รำแม่บท รำเมขลา –รามสูร เป็นต้น
3.2 ระบำ หมายถึง
ศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีผู้เล่นตังแต่ 2 คนขึ้นไป
มีลักษณะการแต่งการคล้ายคลึงกัน กระบวนท่ารายรำคล้าคลึงกัน ไม่เล่นเป็นเรื่องราว
อาจมีบทขับร้องประกอบการรำเข้าทำนองเพลงดนตรี
ซึ่งระบำแบบมาตรฐานมักบรรเลงด้วยวงปี่พาทย์
การแต่งการนิยมแต่งกายยืนเครื่องพระนาง-หรือแต่งแบบนางในราชสำนัก เช่น ระบำสี่บท
ระบำกฤดาภินิหาร ระบำฉิ่งเป็นต้น
4. การแสดงพื้นเมือง
เป็นศิลปะแห่งการร่ายรำที่มีทั้งรำ ระบำ
หรือการละเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชนตามวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค
ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นภูมิภาคได้ 4 ภาค ดังนี้
4.1
การแสดงพี้นเมืองภาคเหนือ เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น
หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้อน” การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา
และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นต้น ลักษณะของการฟ้อน
แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่
แต่ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า
อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรีพื้นบ้าน
เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็นต้น
โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณีหรือต้นรับแขกบ้านแขกเมือง ได้แก่ ฟ้อนเล็บ
ฟ้อนเทียน ฟ้อนครัวทาน ฟ้อนสาวไหมและฟ้อนเจิง
4.2
การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง เป็นศิลปะการร่ายรำและการละเล่นของชนชาวพื้นบ้านภาคกลาง
ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม
ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตและพื่อความบันเทิงสนุกสนาน
เป็นการพักผ่อนหย่อนใจจากการทำงาน หรือเมื่อเสร็จจากเทศการฤดูเก็บเก็บเกี่ยว เช่น
การเล่นเพลงเกี่ยวข้าว เต้นกำรำเคียว รำโทนหรือรำวง รำเถิดเทอง รำกลองยาว เป็นต้น
มีการแต่งกายตามวัฒนธรรมของท้องถิ่น และใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองยาว
กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง
4.3
การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน เป็นศิลปะการรำและการเล่นของชาวพื้นบ้านภาคอีสาน หรือ
ภาคตะวนออกเฉียงเหนือของไทย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่
ๆ คือ กลุ่มอีสานเหนือ มีวัฒนธรรมไทยลาวซึ่งมักเรียกการละเล่นว่า “เซิ้ง ฟ้อน และหมอลำ” เช่น เซิ้งบังไฟ เซิ้งสวิง
ฟ้อนภูไท ลำกลอนเกี้ยว ลำเต้ย ซึ่งใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านประกอบ ได้แก่ แคน พิณ
ซอ กลองยาว อีสาน ฉิ่ง ฉาบ ฆ้อง และกรับ ภายหลังเพิ่มเติมโปงลางและโหวดเข้ามาด้วย
ส่วนกลุ่มอีสานใต้ได้รับอิทธิพลไทยเขมร มีการละเล่นที่เรียกว่า เรือม หรือ เร็อม
เช่น เรือมลูดอันเร หรือรำกระทบสาก รำกระเน็บติงต็อง หรือระบำตั๊กแตน ตำข้าว
รำอาไย หรือรำตัด หรือเพลงอีแซวแบบภาคกลางวงดนตรี ที่ใช้บรรเลง คือ
วงมโหรีอีสานใต้ มีเครื่องดนตรี คือ ซอด้วง ซอด้วง ซอครัวเอก กลองกันตรึม พิณ
ระนาด เอกไม้ ปี่สไล กลองรำมะนาและเครื่องประกอบจังหวะ การแต่งกายประกอบการแสดงเป็นไปตามวัฒนธรรมของพื้นบ้าน
ลักษณะท่ารำและท่วงทำนองดนตรีในการแสดงค่อนข้างกระชับ รวดเร็ว และสนุกสนาน
4.4 การแสดงพื้นเมืองภาคใต้
เป็นศิลปะการรำและการละเล่นของชาวพื้นบ้านภาคใต้อาจแบ่งตามกลุ่มวัฒนธรรมได้ 2
กลุ่มคือ วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก
เพลงนา และวัฒนธรรมไทยมุสลิม ได้แก่ รองเง็ง ซำแปง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลิเกฮูลู
(คล้ายลิเกภาคกลาง) และซิละ มีเครื่องดนตรีประกอบที่สำคัญ เช่น กลองโนรา กลองโพน
กลองปืด โทน ทับ กรับพวง โหม่ง ปี่กาหลอ ปี่ไหน รำมะนา ไวโอลิน อัคคอร์เดียน ภายหลังได้มีระบำที่ปรับปรุงจากกิจกรรมในวิถีชีวิต
ศิลปาต่างๆ เข่น ระบำร่อนแต่ การีดยาง ปาเตต๊ะ เป็นต้น
การแสดงพื้นบ้าน
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านไทย
ความหมายของการแสดงพื้นบ้าน
การแสดงพื้นบ้าน
เป็นการแสดงที่แสดงออกถึงการสืบทอดทางศิลปะและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นที่สืบทอดกันต่อ
ๆ มาอย่างช้านาน ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน การแสดงจะออกมาในรูปแบบใดนั้น
ขึ้นอยู่กับสภาพทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม อาชีพ และความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
ตลอดจนอุปนิสัยของประชาชนในท้องถิ่น จึงทำให้การแสดงพื้นเมือง
มีลีลาท่าทางที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือ
เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง และพักผ่อนหย่อนใจ
การแสดงพื้นบ้าน
เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่บรรพบุรุษไทยได้สั่งสม สร้างสรรค์
และสืบทอดไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้และรักในคุณค่าในศิลปะไทยในแขนงนี้
เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และพร้อมที่จะช่วยสืบทอด จรรโลง
และธำรงไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป
การแสดงพื้นบ้าน
เป็นการแสดงเพื่อก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศ สังคม วัฒนธรรม แต่ละท้องถิ่น
ดังนั้นการแบ่งประเภทของการแสดงพื้นเมืองของไทย โดยทั่วไปจะแบ่งตามส่วนภูมิภาค
ดังนี้
๑. การแสดงพื้นบ้านของภาคเหนือ
จากสภาพภูมิประเทศที่อุดมไปด้วยป่า มีทรัพยากรมากมาย มีอากาศหนาวเย็น
ประชากรมีอุปนิสัยเยือกเย็น นุ่มนวล งดงาม รวมทั้งกิริยา การพูดจา มีสำเนียงน่าฟัง
จึงมีอิทธิพลทำให้เพลงดนตรีและการแสดง มีท่วงทำนองช้า เนิบนาบ นุ่มนวล ตามไปด้วย
การแสดงของภาคเหนือเรียกว่า ฟ้อน เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนสาวไหม
เป็นต้น
๒. การแสดงพื้นบ้านของภาคกลาง
โดยธรรมชาติภูมิประเทศเป็นที่ราบ เหมาะสำหรับอาชีพทำนา ทำไร่ ทำสวน
และเป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรม การแสดงจึงออกมาในรูปแบบของขนบธรรมเนียมประเพณี
และการประกอบอาชีพ เช่น เต้นกำรำเคียว เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงอีแซว
ลิเก ลำตัด กลองยาว เถิดเทิง เป็นต้น
๓. การแสดงพื้นบ้านของอีสาน
ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของภาคอีสานเป็นที่ราบสูง มีแหล่งน้ำจากแม่น้ำโขง
แบ่งตามลักษณะของสภาพความเป็นอยู่ ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน
ประชาชนมีความเชื่อในทางไสยศาสตร์มีพิธีกรรมบูชาภูติ ผี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์
การแสดงจึงเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
และสะท้อนให้เห็นถึงการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ได้เป็นอย่างดี
การแสดงของภาคอีสานเรียกว่า เซิ้ง เป็นการแสดงที่ค่อนข้างเร็ว กระฉับกระเฉง
สนุกสนาน เช่น เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งโปงลาง เซิ้งกระหยัง เซิ้งสวิง เซิ้งดึงครกดึงสาก
เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี ฟ้อนที่เป็นการแสดงคล้ายกับภาคเหนือ เช่น ฟ้อนภูไท (ผู้ไท)
เป็นต้น
๔ .การแสดงพื้นบ้านของใต้
โดยทั่วไปภาคใต้มีอาณาเขตติดกับทะเล และประเทศมาเลเซีย
ประชากรจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีบางส่วนที่คล้ายคลึงกัน ประชากรมีอุปนิสัยรักพวกพ้อง
รักถิ่นที่อยู่อาศัย และศิลปวัฒนธรรมของตนเอง
จึงมีความพยายามที่จะช่วยกันอนุรักษ์ไว้จนสืบมาจนถึงทุกวันนี้
การแสดงของภาคใต้มีลีลาท่ารำคล้ายกับการเคลื่อนไหวของร่างกายมากกว่าการฟ้อนรำ
ซึ่งจะออกมาในลักษณะกระตุ้นอารมณ์ให้มีชีวิตชีวาและสนุกสนาน เช่น โนรา หนังตะลุง
รองเง็ง ตารีกีปัส เป็นต้น
กล่าวได้ว่าการแสดงพื้นบ้านในแต่ละภาคจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของมูลเหตุแห่งการแสดง
ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
๑. แสดงเพื่อเซ่นสรวงหรือบูชาเทพเจ้า
เป็นการแสดงเพื่อแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือเซ่นบวงสรวงดวงวิญญาณที่ล่วงลับ
๒. แสดงเพื่อความสนุกสนานในเทศกาลต่างๆ
เป็นการรำเพื่อการรื่นเริง ของกลุ่มชนตามหมู่บ้าน ในโอกาสต่างๆ
หรือเพื่อเกี้ยวพาราสีกันระหว่าง ชาย – หญิง
๓. แสดงเพื่อความเป็นสิริมงคล
เป็นการรำเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆ หรือใช้ในโอกาสต้อนรับแขกผู้มาเยือน
๔. แสดงเพื่อสื่อถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอันเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ
และวัฒนธรรมประเพณีเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก
ประเภทของการแสดงพื้นบ้าน
๑. การแสดงในเชิงร้องและขับลำ
การร้องและขับลำ
เป็นการใช้ภาษาเชิงปฏิภาณไหวพริบอย่างฉับไว
แม้บางส่วนบางตอนจะใช้บทที่ท่องไว้แล้วก็ตาม แต่อาจนำเอามาปรุงถ้อยคำใหม่ได้
นับเป็นการแสดงที่เน้นเฉพาะการขับร้อง อาศัยถ้อยคำ ทำนอง และสำเนียงตลอดจนภาษาถิ่น
เช่นตัวอย่าง ดังนี้
๑. ภาคกลาง เช่น ลำตัด เพลงฉ่อย
เพลงอีแซว เพลงพวงมาลัย เพลงเรือ เพลงเหย่อย เพลงช้าเจ้าหงส์ เพลงเกี่ยวข้าว
เพลงสงฟาง เพลงชักกระดาน เพลงสงคำลำพวน และเพลงพานฟาง เป็นต้น
๒. ภาคเหนือ เช่น ซออู้สาว เป็นต้น
๓. ภาคอีสาน เช่น กลอนลำ การสู่ขวัญ
การพูดผญา เป็นต้น
๔. ภาคใต้ เช่น เพลงบอก เป็นต้น
๒.การแสดงในเชิงเรื่องราว
การแสดงในเชิงเรื่องราวรวมทั้งการแสดงขับร้องขับลำที่ขยายออกไปเป็นเรื่องราว
จนถึงการแสดงแบบละคร ซึ่งมีการแสดง เช่น ฟ้อนรำ ออกท่าทาง และจัดตัวแสดงอย่างละคร
มีดนตรีประกอบบ้าง ลักษณะการแสดงอาจจะใช้เรื่องราวจากนิทาน
นิยายหรือวรรณกรรมตอนใดตอนหนึ่ง เช่นตัวอย่าง ดังนี้
๑.ภาคกลาง เช่น การแหล่ออกตัว เสภารำ
สวดคฤหัสถ์ ลิเก ละครชาตรี เป็นต้น
๒.ภาคเหนือ เช่น การแสดงเรื่องน้อยไจยา
เป็นต้น
๓.ภาคอีสาน เช่น หมอลำกลอน หมอลำหมู่
เป็นต้น
๔.ภาคใต้ เช่น โนรา ลิเกป่า เป็นต้น
๓.การแสดงในเชิงขบวนแห่
การแสดงในเชิงจัดขบวน
มีขึ้นเพื่อแสดงความครึกครื้นสนุกสนานในการเดินทางเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
จัดเป็นขบวนแห่ซึ่งมีการร้องรำทำเพลงและฟ้อนรำเข้าขบวนไปด้วยกัน
เป็นการแสดงที่มีอยู่ทุกภาค เช่นตัวอย่าง ดังนี้
๑.ภาคกลาง เช่น การรำกลองยาว แตรวง
กระตั้วแทงเสือ เป็นต้น
๒.ภาคเหนือ เช่น ขบวนฟ้อน กลองสะบัดไชย
เป็นต้น
๓.ภาคอีสาน เช่น การเซิ้งเข้าขบวนบั้งไฟ
ขบวนปราสาทผึ้ง ขบวนแห่เทียนเข้าพรรษา เป็นต้น
๔.ภาคใต้ เช่น แห่หมรับ การส่งตายาย
เป็นต้น
คุณค่าของการแสดงพื้นบ้าน
การแสดงพื้นบ้านของไทย
เป็นสิ่งที่แสดงถึงความมีอารยธรรมและความเจริญงอกงามของคนในชาติ
ซึ่งสามารถจำแนกคุณค่าของการแสดงพื้นบ้านเป็นด้านต่างๆ ดังนี้
๑. คุณค่าด้านความบันเทิง
ความเจริญเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการแสดงทุกประเภท
เพราะการแสดงพื้นบ้านทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินทั้งจากลีลาท่าทางของผู้แสดง
ความวิจิตรงดงามของเครื่องแต่งกาย ความงามสวยงามของฉาก
๒. คุณค่าด้านศิลปวัฒนธรรม
การแสดงพื้นบ้านเป็นศูนย์รวมของงามศิลป์หลากหลายสาขา เช่น ดุริยางคศิลป์ นาฏศิลป์ วรรณศิลป์ มัณฑนศิลป์
วิจิตรศิลป์ และขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงามของท้องถิ่น
๓. คุณค่าด้านจริยธรรม
เนื้อเรื่องของการแสดงส่วนใหญ่จะสะท้อน คติธรรมค่านิยมทางพุทธศาสนา การทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว เสริมสร้างคุณธรรม และจริยธรรม
๔. คุณค่าด้านความคิด การแสดง
และการละเล่นพื้นบ้านหลายประเภท เป็นการแสดงความสามารถด้านคิดสร้างสรรค์
สร้างจินตนาการ สอดแทรกคติสอนใจ และแนวคิดที่เป็นประโยชน์
๕. คุณค่าด้านการศึกษา
การแสดงพื้นบ้านของภาคต่างๆ ก่อให้ประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า
ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ สังคม ขนบธรรมเนียม
ประเพณีวัฒนธรรม และความเชื่อของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น
ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านของท้องถิ่นต่างๆ
ทั่วทุกภาคในประเทศไทย เพื่อเป็นหลักฐานในการอนุรักษ์
และสืบทอดการแสดงพื้นบ้านของไทยไว้เป็นมรดกประจำท้องถิ่น และประจำชาติสืบไป
นอกจากนี้ได้มีการดัดแปลง และสร้างสรรค์การแสดงพื้นบ้านขึ้นมาใหม่เพื่อให้มีความเหมาะสม
ทั้งลีลาท่ารำ และการแต่งกายเพื่อให้สวยงามและสอดคล้องกับยุคสมัย
ซึ่งได้แสดงให้เห็นต่อไป
การอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้าน
การอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้านไทยให้ดำรงอยู่สืบไปจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากคนไทยทุกคน
ซึ่งมีหลายวิธีการด้วยกัน ดังนี้
๑. การรวบรวมข้อมูลการแสดงพื้นบ้านต่างๆ
ทั้ง จากคนในท้องถิ่น และเอกสารที่ได้มีการบันทึกไว้ เพื่อนำมาศึกษา
วิจัยให้เข้าใจถึงแก่นแท้ เอกลักษณ์ และคุณประโยชน์ของการแสดงนั้นๆ
ซึ่งจะช่วยให้คนรุ่นใหม่เกิดการยอมรับ และนำไปปรับใช้กับชีวิตยุคปัจจุบันได้
๒.
ส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของการแสดงพื้นบ้านไทย โดยเฉพาะการแสดงในท้องถิ่น
ให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงเอกลักษณ์ของการแสดงพื้นบ้าน
๓.
การรณรงค์เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกความรับผิดชอบในการอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้านให้กับคนไทยทุกคน
เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของการแสดงพื้นบ้านว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน
รวมทั้งภาคเอกชนต้องร่วมกันในการส่งเสริมสนับสนุน ประสานงานการบริการความรู้
วิชาการ และทุนทรัพย์สำหรับจัดกิจกรรมทางการแสดงพื้นบ้านให้กับชุมชน
๔. สร้างศูนย์กลางในเผยแพร่ประชา
สัมพันธ์ผลงานทางด้านวัฒนธรรม ด้วยระบบเครือข่ายสารสนเทศ เช่นเว็บไซต์
เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว
และสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตได้ง่าย
อย่างไรก็ดีสื่อมวลชนควรมีบทบาทในการส่งเสริม
และสนับสนุนงานด้านการแสดงพื้นบ้านมากยิ่งขึ้นด้วย
บทที่ 3
วิธีดำเนินงาน
ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงานการศึกษา
1.
ศึกษาเนื้อหาและข้อมูลเกี่ยวกับการทำโครงงาน
2.
รวบรวมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องในการทำโครงงาน
3.
นำข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียงและเสนอต่อครูที่ปรึกษาเพื่อขอรับคำแนะนำ
4.
จัดทำรูปเล่มโครงงาน
5.
นำโครงงาน
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงาน
1.
คอมพิวเตอร์
2.
เครื่องปริ้น
3.
โปรแกรมสร้างเว็บ
รูปแบบการนำเสนอผลงานผ่านทางเว็บไซต์


บทที่ 4
ผลการดำเนินงาน
ผลการดำเนินโครงงาน
นาฎศิลป์ไทยเป็นการเล่นเครื่องดนตรีแปลกๆชนิดการละครฟ้อนรำและดนตรีอันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรือนาฏยะกำหนดว่า
ต้องประกอบไปด้วยศิลปะ 3 ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรี และการขับร้อง
รวมเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดำบรรพ์ นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดจากสาเหตุแนวคิดต่าง
ๆ เช่น เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ไม่ว่าจะอารมณ์แห่งสุข
หรือความทุกข์และสะท้อนออกมาเป็นท่าทางแบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นท่าทางลีลาการฟ้อนรำ
หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธ์ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรำ
ขับร้องฟ้อนรำให้เกิดความพึงพอใจ เป็นต้น
นาฏศิลป์ไทยยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย
บทที่ 5
สรุปผล
อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการดำเนินงาน
ได้ชื่อว่าเป็นชาวไทยที่สมบูรณ์
รู้จักวัฒนธรรมของชาติตน การเรียนรู้วิชานาฏศิลป์ในปัจจุบัน
ชาวต่างประเทศให้ความสนใจมาก ได้เข้ามาสนใจศึกษาค้นคว้า
แต่พวกเราชาวไทยถ้าหากไม่สนใจแล้ว วัฒนธรรมในแขนงนี้ก็จะตกไปอยู่ในมือต่างชาติ
ต่อไปเมื่อเราต้องการศึกษาก็คงจะต้องอาศัยข้อมูลจากพวกเขา
แล้วอย่างนี้จะได้ชื่อว่าเป็นวัฒนธรรมไทยได้อย่างไร
พวกเราชาวไทยควรศึกษาศิลปวัฒนธรรมของเราเองไว้ให้ดี
จะได้ชื่อว่าเป็นชาวไทยที่แท้จริง
อภิปรายผล
นาฏศิลป์ไทยมีคุณค่ามากในฐานะที่เป็นที่รวมของศิลปะหลายแขนง ปลูกฝังจริยธรรมและเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ที่แสดงถึงความเป็นอารยประเทศ อาทิ
ศิลปะแขนงวิจิตรศิลป์ หรือ ประณีตศิลป์
ข้อเสนอแนะ
1.
ควรมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะการแสดงของภาคต่างๆผสมด้วย
2.
การนำเสนอความรู้สามารถตกแต่งความสวยงานได้ตามความเหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
sirany.blogspot.com/2014/11/blog-post.html
www.academia.edu/.../โครงงานนาฏศิลป_เรื_อง_การศึกษานาฏศิลป_ญี_ปุ_น
https://board.postjung.com/642545.html
https://th.wikipedia.org/wiki/นาฏศิลป์ไทย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น